วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การดูแลรักษาสวนถาด

สวนถาด คือ กลุ่มของต้นไม้ซึ่งมาจัดอยู่รวมกันควรเป็นพันธุ์ไม้ประเภทเดียวกัน คือต้องการ แสง น้ำ และดินปลูก ตลอดจนสภาพแวดล้อมอื่นๆ ใกล้เคียงกัน จึงจะดูแลสวนถาดทั้งภาชนะหรือกระเช้านี้ได้ง่าย ขอแยกตามกลุ่มของพันธุ์ไม้ดังนี้กลุ่มไม้ที่ชอบแสงจัด ได้แก 1. กลุ่มไม้ที่ชอบแสงจัด1. ไม้ดอกล้มลุก พืชสวนครัว ควรจัดวางไว้ในที่ได้รับแสงตลอดวันหรืออย่างน้อยครึ่งวัน ภาชนะต้องมีรูระบายน้ำดี รดน้ำวันละ 1 ครั้ง หรืออาจเพิ่มรอบเย็นอีกครั้ง ถ้าสังเกตว่าดอกหรือใบมีอาการสลดเหี่ยวเฉาอาจใส่ปุ๋ยเพิ่มเติม ถ้าไม่ได้ใส่ไว้แต่แรกจัด ควรเป็นปุ๋ยหมัก ถ้าเป็นปุ๋ยเคมีให้ใส่เพียงเล็กน้อย เพราะในสวนถาดมักมีเนื้อดินน้อย ปุ๋ยเคมีที่มากเกินไปจะทำให้ดินเค็ม ต้นไม้อาจเฉาหรือตายได้ส่วนปุ๋ยพวกปลดปล่อยช้ามักมีอายุนานอย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไป เติมเมื่อครบอายุการใช้งาน ควรตัดแต่งใบที่เหี่ยวเฉาแก่เหลือง รวมทั้งดอกโรยทิ้งบ่อยๆ *ไม้น้ำ ก็ชอบแสงจัดเช่นกัน มิฉะนั้นจะไม่ผลิดอก ใบก็อาจเน่า ควรหมั่นเติมน้ำให้เพียงพออยู่เสมอ กำจัดหอยหรือแมลงที่มักมากัดกินใบ โดยหมั่นเก็บออกบ่อยๆ ช้อนตะไคร่น้ำหรือสิ่งสกปรกออกทิ้ง ดูแลให้น้ำใสอยู่เสมอ 2. กลุ่มไม้อวบน้ำ พวกแคคตัส ซัคคิวเลนท์ และไม้ที่มีต้นใบอวบหนา ไม่ชอบน้ำขัง จึงต้องปลูกในภาชนะที่มีรูระบายดินโปร่งซุย ชอบแสงแดด แต่ไม่ควรจัดถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ต้องพรางแสงให้บ้างเหลือราว 70 - 80 เปอร์เซ็นต์ ควรหลีกเลี่ยงแสงจัดยามเที่ยงวัน ไม้บางชนิดจะใบไหม้ อาจจัดวางสวนถาดกลุ่มนี้ไว้ริมหน้าต่างในบ้าน3. กลุ่มไม้ที่ชอบแสงรำไร และกล้วยไม้ ไม้กลุ่มนี้ชอบความชุ่มชื้นและแสงไม่จัดนัก อาจตั้งไว้ในบ้านตรงมุมที่มีแสงส่อง ภาชนะปลูกจะมีรูระบายหรือไม่ก็ได้ รดน้ำวันละครั้งก็พอ ถ้าจะใช้ปุ๋ยก็ควรเป็นปุ๋ยพวกปลดปล่อยช้า หรือให้ปุ๋ยน้ำฉีดให้ทางใบเป็นปุ๋ยประเภทเดียวกับที่ฉีดกล้วยไม้นั่นเอง พวกกล้วยไม้ดังที่เอยไว้ข้างต้น ในส่วนของต้นไม้ก็มี 2 ประเภท คือ ต้องใช้เครื่องปลูกและไม่ต้องใช้เครื่องปลูก ใช้ฉีดสเปรย์น้ำให้บ่อยๆ บริเวณปลายรากโคนต้น วันละ 1-2 ครั้ง กลุ่มกล้วยไม้ที่เหมาะสมกับสวนถาดมักให้ดอกบ่อย และดอกบานทนนาน อย่าฉีดน้ำให้โดนดอก ดอกจะบานทนขึ้น ตัดแต่งหน่อลำต้นเก่าที่ให้ดอกแล้วทิ้งเสีย ทาด้วยปูนแดงหรือยากันเชื้อรา เพื่อให้ต้นไม้มีกำลังเลี้ยงหน่อใหม่

สวนถาดแบบต่างๆ
















น้ำก็ทำได้ไม่ยาก โดยการหาซื้อน้ำตกสำเร็จรูปมาจัดได้เลย ซึ่งมีให้เลือกหลายขนาด หลายชนิด หาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์จัดสวนทั่วไปเช่น ตลาดนัดสวนจตุจักร และตลาดย่านพหลฯ หลักการของน้ำตกคือ ใช้ระบบน้ำล้น
สำหรับการก่อน้ำตกที่มีขนาดใหญ่ และมีโครงสร้างที่ซับซ้อนมาก ๆ ควรเรียกผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้มาช่วยโดยเฉพาะ
การติดตั้งไฟในสวนนั้น เป็นการยืดเวลาการใช้สวนให้ยาวนานออกไปอีก คือสามารถใช้สวนในตอนกลางคืนได้ และเพื่อความสวยงามของต้นไม้ในสวนด้วย โดยเฉพาะการส่องไฟขึ้นจากโดนของต้นไม้เพื่อเน้นรูปทรงของกิ่งก้านสาขา หรือการส่องไฟจากด้านข้าง ทำให้เกิดมิติใหม่ของสีสัน และรูปทรงของสวน ความสำเร็จของการจัดไฟในสวนนั้น จะต้องจัดแสงอย่างตรงไปตรงมา เน้นสิ่งที่ต้องการจะเน้น ไฟที่ติดในสวนส่วนมากนิยมติดตามบริเวณ กลุ่มหิน สวนหย่อม น้ำตกสระน้ำ และบริเวณโต๊ะเก้าอี้ในสวน
6) ศาลา (Gazebo) เป็นองค์ประกอบที่น่าสนใจเพราะให้ร่มเงา และผู้ใช้สามารถนั่งพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติได้ ส่วนมากนิยมสร้างด้วยไม้ เพราะให้ความอ่อนนุ่มกับสวนมากกว่าวัสดุอย่างอื่น ควรใช้ไม้แดง หรือไม้เต็งซึ่งเหมาะสำหรับกลางแจ้ง หรืออาจทำด้วยไม้ระแนงแล้วอาศัยไม้เถาเลื้อย ปกคลุมแทนหลังคากระเบื้อง
ส่วนรูปแบบของศาลานั้นมีให้เลือกมากมายหลายแบบ ตั้งแต่ศาลาคนยากมีเสากลางเสาเดียว หลังคามุงจาก หรือที่เรียกกันว่าดอกเห็ด ซึ่งเหมาะกับสวนบ้านไร่ ส่วนศาลามุงกระเบื้องหรือหลังคาไม้ระแนงที่อาศัยเถาไม้เลื้อยปกคลุมนั้น นิยมใช้กับบ้านทั่ว ๆ ไป และศาลาโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก มุงกระเบื้องซีแพคโมเนียนั้น เหมาะกับบ้านที่มีบริเวณพื้นที่ในการจัดสวนกว้างใหญ่ เพราะโครงสร้างของศาลาแบบนี้จะดูเทอะทะสำหรับบ้านทั่ว ๆ ไปยังคงนิยมศาลาไม้เป็นส่วนมาก เพราะดูเบาและอ่อนนุ่มกว่าคอนกรีตเสริมเหล็ก
หลักเบื้องต้นของการออกแบบสวน
ในเบื้องต้นมักเป็นการทำความรู้จักกับพื้นที่จัดสวนโดยการเขียนและระบุรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งประกอบโดยรอบ เช่น ตัวบ้าน ขอบเขตที่ดิ้น (รั้ว) ถนนหน้าบ้านทาง ทางเข้าบ้าน โรงรถ ทางเดินต่าง ๆ กำหนดตำแหน่งของต้นไม้ใหญ่ที่จะเก็บรักษาไว้ แสดงทิศเหนือ-ใต้ บริเวณที่มีปัญหาต่าง ๆ เช่น ด้านที่ร้อนแดดบริเวณที่ร่มจัดจนปลูกต้นไม้ไม่ได้ บริเวณที่มีน้ำขังแฉะในฤดูฝน หรือด้านที่ต้องการสิ่งบังตา เพราะขาดความเป็นส่วนตัวโดยที่บุคคลภายนอกสามารถมองเห็นภายในบริเวณ เป็นต้น
ข้อจำกัดของพื้นที่
ในการจัดสวนนั้นปัจจัยหลักที่เป็นตัวเองกำหนดรูปแบบจัดสวนและงบประมาณของชิ้นงาน คือ พื้นที่ในการจัดสวน ซึ่งในการสำรวจพื้นที่ในการจัดนั้นไม่เพียงการวัดขนาดกว้าง ยาวา ของพื้นที่เท่านั้น แต่ต้องระบุข้อจำกัดต่างๆ ของพื้นที่โดยรอบได้
§ ขนาดและคุณสมบัติ เช่น กว้าง ยาว ความลาดเอียงของพื้นที่/ทิศทางน้ำ คุณภาพดินความหนาแน่น ชนิดดิน
§ พื้นที่ใช้ประโยชน์ใกล้เคียง เช่น พื้นที่ซักล้าง ถนน ห้องรับแขก ห้องครัว ฯลฯ
§ ทิศทางแดด ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นไปตามทิศทางของแดด แต่ควรทราบถึงรายละเอียด เช่น มีอาคารมาขวางกั้นทำให้เกิดพื้นที่ร่มตลอดเวลาเป็นต้น
§ ทิศทางลม มีประโยชน์ในการกำหนดชนิดพรรณไม้ เช่น ไม้มีกลิ่น ไม้โปร่ง เป็นต้น
§ มุมมอง เช่น บริเวณด้านหน้าห้องรับแขก ห้องเครื่องมือ ที่เก็บของ ห้องเรียน เป็นต้น
§ โครงสร้างสาธารณูปโภค เช่น ท่อน้ำ สายไฟ สายดิน ท่อน้ำทิ้ง แอร์ รางรับน้ำฝน เป็นต้น
§ อื่นๆ เช่น วัชพืชในดิน (หญ้าแห้วหมู หญ้ากก หรือวัชพืชประเภทเหง้า
2) รั้วอิฐบล๊อค โครงสร้างของเสาและคานเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ผนังรั้วใช้อิฐ บล๊อค ซึ่งมีหลายแบบหลายขนาด ทั้งทึบและโปร่ง จะมีอายุการใช้งานได้นาน การซ่อมแซมเพียงทาสีใหม่ เมื่อสีเก่าจางไป
3) รั้วเหล็ก หรือรั้วอัลลอยด์ โครงสร้างของเสาคานอาจจะเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก หรือเสาเหล็กได้ ส่วนผนังนั้นใช้เหล็กกั้น มีความแข็งแรงและทนทานได้ดี จะมีอายุการใช้งานได้นาน แต่ต้องขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาด้วย สำหรับบ้านที่อยู่ใกล้ทะเลไม่ควรทำรั้วแบบนี้ เพราะไอน้ำเค็มจากทะเล จะทำให้รั้วเป็นสนิมเร็วขึ้น ทำให้อายุการใช้งานสั้นลง
5. เฟอร์นิเจอร์ ในสวน หมายถึงวัสดุต่าง ๆ ที่นอกเหนือไปจากต้นไม้ และวัสดุปูพื้นที่ใช้ตกแต่งในบริเวณสวน เป็นองค์ประกอบที่ทำให้เกิด จุดเด่น จุดน่าสนใจ หรือไว้ใช้งานใสบางครั้ง ซึ่งแบ่งออกได้ดังนี้
1) หิน หินใช้มาตกแต่งสวนนั้นจะต้องใช้หินชนิดเดียวกัน แต่ให้แตกต่างกันที่ขนาด ไม่ควรใช้หินหลากหลายชนิดในพื้นที่เดียวกัน หินที่นิยมใช้ในการจัดสวนคือ หินภูเขา หินแม่น้ำ หินทะเล หินกาบ หินชั้น หินแผ่น โดยทั่วไปแล้ว มักใช้หินนำมาจัดเป็นสวนหย่อม ซึ่งนิยมใช้หินก้อนใหญ่ ๆ ประกอบกับไม้คลุมดิน หรือจัดเป็นสวนหิน ซึ่งนิยมจัดในบริเวณที่ไม่สามารถปลูกหญ้าได้ หรือในพื้นที่ขนาดเล็ก การจัดสวนหินนี้ นอกจากมีหินใหญ่เป็นประธานแล้ว ยังต้องใช้กรวดก้อนเล็ก ๆ ประกอบด้วย นอกจากนี้อาจใช้หินตกแต่งเป็นทางเท้าโดยมากนิยมใช้หินแผ่น หรือใช้หินปูบริเวณโคนต้นไม้เพื่อแยกสนามหญ้าออกจากโคนต้นไม้ใหญ่ เพื่อสะดวกในการตัดหญ้าหรือปูรองรับบริเวณที่น้ำฝนตกลงกระทบ เพื่อลดการกระแทกของน้ำฝนกับผิวหน้าดิน
2) เก้าอี้ชุดสนามและม้านั่งต่าง ๆ จัดเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นสำคัญในสวน ไม่ว่าจะมีสวนประเภทใดขนาดเท่าใดมักจะมีเก้าอี้สนามกันทั้งนั้น เพราะการมีเก้าอี้สนามไว้ในสวนแสดงให้เห็นถึงการเชื้อเชิญให้หยุดพักผ่อน และนั่งเล่น ดังนั้น เก้าอี้ชุดสนามควรมีอายุการใช้งานที่นานปี ทนแดดทนฝนได้ดี ส่วนมากจะทำมาจากวัสดุ ประเภท ไม้ หินขัด หินธรรมชาติ เหล็กหล่อ อัลลอยด์ ผ้าใบ พลาสติก ฯลฯ หรืออาจจะเป็นสิ่งที่ประดิษฐ์มาจากวัสดุที่เหลือใช้ภายในบ้านได้
เก้าอี้ชุดสนามมักประกอบไปด้วย โต๊ะและเก้าอี้ 4 ตัว จัดวางไว้บริเวณลานพักผ่อนที่จะนั่งเล่น หรือตามเทอร์เรส ใช้นั่งรับประทานอาหารว่างยามบ่าย จัดไว้ในบริเวณศาลาในสวน ลานโคนต้นไม้ หรือจัดให้กลางสนามใต้ร่มไม้ ซึ่งบริเวณที่จัดวางชุดสนามนี้ ควรปูพื้นแข็งรองรับก่อนทำให้สามารถใช้งานได้ทุกฤดูกาล
ม้านั่งโดยทั่วไปมีทั้งเป็นชุดและตัวเดี่ยว ซึ่งกว้างประมาณ 40 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1 เมตร สามารถยกไปตั้งตามทางเดิน ใต้ต้นไม้ ริมสระน้ำ หรือที่ใดที่หนึ่งที่เราพอใจไว้นั่งตามลำพัง เมื่อต้องการความเป็นส่วนตัว
3) รูปปั้น การนำรูปปั้นมาตกแต่งสวนนั้น เป็นวิธีการเรียกร้องความสนใจอีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นองค์ประกอบที่บังคับให้คนมอง โดยเฉพาะรูปปั้นที่เป็นรูปคนมักจะเป็นจุดสนใจสร้างจินตนาการให้ระลึกถึงอดีตเป็นงานศิลปะ ที่มีค่ามากในการนำมาตกแต่งสวน โดยทั่วไปแล้วรูปปั้นมักจะทำมาจากดินเผา หิน ทองแดง เหล็ก หินอ่อน ไม้ ไฟเบอร์ บรอนซ์ และวัสดุอื่น ๆ อีกมากมาย
ในพื้นที่แคบ ๆ ไม่ควรใช้รูปแบบคลาสสิค ควรใช้รูปปั้น Abstarct ซึ่งทำด้วยโลหะ จะมีลักษณะมันวาว ทำให้พื้นที่ดูกว้างขึ้น การจัดวางรูปปั้น ก็ต้องคำนึงถึงมุมมอง อย่าวางรูปปั้นให้หลบซ่อนเกินไปควรมีฉากหลังที่ทำให้รูปปั้นดูเด่นขึ้น ต้นไม้ที่ใช้ควรมีรูปทรงที่สะดุดตา เช่นสนเลื้อย เศรษฐีไซ่ง่อน ซุ้มกระต่ายด่าง และไม้ประดับต่าง ๆ ถ้าบ้านเป็นแบบคลาสิค เสาโรมันจำลอง ฯลฯ หรือถ้าบ้านแบบทันสมัย จะใช้รูปปั้นได้กว้างขวางกว่าไม่ว่าแบบคลาสิคหรือแบบ Abstarct สำหรับบ้านทรงไทยมักจะใช้โอ่งบ้านเชียง สังคโลก หรือล้อเกวียนมาตกแต่ง ส่วนสวนญี่ปุ่น และสวนจีน มักจะใช้ตะเกียง สะพานเล็ก ๆ และอ่างน้ำ เป็นต้น
4) กระถาง หรือ ภาชนะบรรจุต้นไม้ต่าง ๆ เป็นองค์ประกอบที่ช่วยเสริมบริเวณสวนให้ดูสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ส่วนมากกระถางจะทำมาจากดินเผาเคลือบ ซึ่งการจัดสวนที่ใช้กระถางเป็นองค์ประกอบนั้น จะมีความยืดหยุ่นสูง เพราะสามารถสับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา แม้แต่กระถางที่มีต้นไม้บรรจุอยู่ก็สามารถเปลี่ยนไปตามฤดูกาลได้อีกด้วย กระถางที่ดีควรมีรูระบายน้ำด้วย5) น้ำและไฟในสวน น้ำเป็นสิ่งที่เสริมสร้างความรื่นรมย์แก่ผู้ใช้เป็นอย่างมาก เสียงหรือแสงระยิบระยับของน้ำยามต้องแสงแดด หรือเงาที่สะท้อนตามพื้นน้ำจะช่วยให้สวนมีชีวิตชีวามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสระน้ำ น้ำพุ หรือน้ำตก ถ้าไม่ใหญ่โตเกินไปนัก เจ้าของบ้านสามารถทำขึ้นเองได้ โดยใช้ปั้มขนาดเล็กวางไว้ก้นสระ หรือที่เรียกกันว่า Submersible Water Pump (ได้โว่) ซึ่งจะดูดน้ำเข้าผ่านระบบกรองในตัว จากนั้นน้ำจะถูกปั้มผ่านท่อยางไปยังหัวน้ำพุ หรือไปยังน้ำตกที่เตรียมไว้ หัวน้ำพุนี้สามารถถอดเปลี่ยนเป็นแบบต่าง ๆ ได้ตามความต้องการส่วนน้ำตก ถ้าเจ้าของบ้านมีมุมเล็ก ๆ และต้องการที่จะทำเอง
สวน สามารถแบ่ง2.4 หญ้า (Grass) เป็นพืชคลุมดินเพื่อป้องกันการพังทลายของหน้าดิน มีความสวยงาม และสามารถเหยียบย่ำได้ หญ้าที่ปลูกตามบ้านทั่ว ๆ ไปมีอยู่ 2 ชนิด คือ


2.4.1. หญ้านวลน้อย (Zoysia Matrella) เจริญเติบโตได้ดีในเขตร้อน ชอบแดดจัด ทนการเหยียบย่ำได้ค่อนข้างสูง ปลูกได้ทั่วไป แต่ต้องการดินที่มีความอุดมสมบูรณ์พอควร ระบายน้ำได้ดี ไม่ชอบน้ำขังแฉะการตัดควรตัดให้สูง 0.5-1 นิ้ว ควรตัดบ่อย ๆ และตัดให้ต่ำ เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตเป็นกระจุก และควรจะใส่ปุ๋ยไนโตรเจน (N) สูงทุกเดือน



2.4.2. หญ้ามาเลเซีย (Axonopus Compressus) เป็นหญ้าใบกว้าง ใบสีเขียวอ่อน ทนร่มได้ดี ไม่ควรปลูกกลางแดดเพราะรากสั้นทำให้เหี่ยวแห้งเร็ว ทนน้ำขังแฉะได้ชั่วคราว ทนการเหยียบย่ำได้น้อยกว่าหญ้านวลน้อย เวลาตัดควรตัดให้สูง 1-2 นิ้ว หญ้ามาเลเซียนี้ควรจะปลูกในที่ร่ม และกับบ้านที่เจ้าของบ้านไม่มีเวลาในการดูแลรักษา ควรใส่ปุ๋ยที่มี N-P-K ในอัตราส่วน 3-1-2 ต่อเดือน

การเลือกชนิดพรรณไม้
ในการจัดสวนนั้นนอกจากการออกแบบเพื่อจัดสวนสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่จะให้การออกแบบเป็นไปตามวัสถุประสงค์นั้น คือ การเลือกชนิดพรรณไม้ ซึ่งในการเลือกพรรณไม้นั้นต้องขึ้นอยู่กับข้อจำกัดของพื้นที่ โดยพิจารณาได้ดังนี้
§ ความต้องการแสง
§ ความเข้ากันของพรรณไม้
§ ความต้องการน้ำ
§ บรรยากาศ
§ สี/ลายเส้น/ความละเอียด
§ ผิวสัมผัส
3. วัสดุปูพื้น วัสดุปูพื้นของสวนในบ้านหมายถึง ส่วนใช้งานที่ต้องการผิวพื้นที่ไม่ใช่สนามหญ้าเพื่อทนการเหยียบย่ำ ซึ่งแบ่งออกได้ดังนี้
3.1 วัสดุปูพื้นแบบแข็ง (Rigid) ใช้ปูในบริเวณพื้นที่ที่มีการใช้งานสูง โดยพื้นส่วนล่างจะเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กรองรับวัสดุปูพื้นอื่น ๆ เช่น อิฐ กระเบื้อง เซรามิค หิน วัสดุปูพื้นแบบนี้น้ำจะไม่สามารถซึมผ่านลงไปได้ อัตราการไหลของน้ำบนผิวหน้าจะสูง เพราะฉะนั้น ในขณะที่ปูพื้นแบบนี้ จะต้องคำนึงถึงการระบายน้ำเป็นสำคัญ ควรให้มีความลาดเอียงออกจากบ้าน การปูพื้นด้วยวัสดุแบบแข็งนี้เหมาะกับบริเวณลานนั่งเล่น ลานจอดรถทางเดินที่ต้องการความถาวร
3.2 วัสดุปูพื้นแบบมีความยืดหยุ่น (Flexible) พื้นฐานส่วนลางใช้ทรายหรือปูนทรายบดอัดให้เรียบก่อน วัสดุที่ใช้ปูมีหลายชนิดเช่น บล็อกประดับพื้นรูปคดกริช รวงผึ้ง และอัฐศิลา ของปูนซิเมนต์ไทย อิฐมอญ และหินต่าง ๆ การปูแบบนี้น้ำจากพื้นผิวด้านบนสามารถซึมผ่านลงไปได้บ้าง และอัตราการไหลของน้ำบนผิวหน้าจะไม่สูงเท่ากับวัสดุพื้นแบบแข็ง การปูวัสดุปูพื้นแบบมีความยืดหยุ่นนี้สามารถทำเองได้ทันที การซ่อมแซมก็ทำได้ง่าย แต่ต้องระวังตอนอัดทราย ถ้าอัดไม่ดีจะยุบตัวได้ในภายหลัง การปูพื้นแบบนี้เหมาะกับบริเวณลานนั่งเล่น ลานจอดรถ ทางเดิน ส่วนสนามเด็กเล่นควรใช้ทรายทั้งหมดเพื่อความปลอดภัย
4. รั้ว การออกแบบหรือตกแต่งบริเวณภายในบ้านนั้น นอกจากรั้วรอบบ้านที่ใช้แสดงขอบเขตของพื้นที่ และป้องกันอันตรายจากภายนอกแล้ว รั้วยังเป็นการแบ่งบริเวณที่กว้างขวางให้เล็กลง หรือเพื่อบังสายตาของคนภายนอก ทำให้เกิดความเป็นส่วนตัว หรือใช้เป็นที่บังแดด บังลม บางครั้งสามารถใช้รั้วเป็นเครื่องประดับสวนให้งดงามอีกด้วย
การเลือกแบบของรั้วนั้นขึ้นอยู่กับแบบของบ้านและรูปทรงของบริเวณออกได้ดังนี้
1) รั้วไม้ เสาอาจจะเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก หรือใช้เสาเป็นไม้ได้ ส่วนผนังของรั้วใช้ไม้กั้น อาจจะเป็นไม้ไผ่ ซึ่งเหมาะกับการจัดสวนญี่ปุ่น หรือรั้วไม้ซุงซึ่งเหมาะกับสวนบ้านไร่ ส่วนอายุการใช้งานนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของไม้ การซ่อมแซมทำได้ง่ายไม่ยุ่งยาก
ขนาด (Size) เช่น สวนถาด สวนหย่อม สวนหญ้า สวนสาธารณะ เป็นต้น
รูปร่าง (Form)
1. แบบรูปทรงเรขาคณิต (Formal) คือ การจัดโดยอาศัยรูปทรงเรขาคณิตต่าง ๆ มีการแสดงออกของเส้นตรง ซึ่งเป็นเส้นนำสายตาให้มุ่งตรงไปยังจุดเด่นที่ต้องการ (Strong Axial Design) และเส้นนี้จะแสดงความรู้สึกว่า บริเวณด้านซ้าย และขวามีความเท่า ๆ กัน (Balance) คือด้านซ้ายและด้านขวาเหมือนกันทุกประการ การจัดสวนแบบนี้เหมาะกับบ้านทรงยุโรป ประเภทกรีก โรมัน และบริเวณมุมเล็ก ๆ ในพื้นที่จำกัด หรือในบริเวณส่วนด้านหน้าของหน่วยงานราชการ และบริษัทต่าง ๆ การจัดสวนประเภทนี้จะดูเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่การดูแลรักษาค่อนข้างสูง เพราะต้องตัดแต่งต้นไม้ให้เป็นรูปทรงเรขาคณิตอยู่เรื่อย ๆ
2. แบบธรรมชาติ (Informal) คือ การจัดใช้เส้นอิสระ (Free Form) มักเป็นโค้งรูปตัว "S" ดูเป็นธรรมชาติ อ่อนช้อยไม่เป็นเหลี่ยมมุม ต้นไม้ใช้รูปทรงตามธรรมชาติ ไม่ตัดแต่งเป็นรูปทรงเรขาคณิต การจัดสวนแบบธรรมชาตินี้เหมาะกับบ้านทั่ว ๆ ไป ทั้งที่มีเนื้อที่กว้างและเนื้อที่แคบ หรือสวนสาธารณะ และสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ
ความเป็นเอกลักษณ์ (Style) คือ สวนที่มีสไตล์การจัดสวนที่แสดงหรือบ่งบอกถึงความเป็นเอกลักษณ์ เช่น วัฒนธรรม/ศาสนา (สวนไทย สวนญี่ปุ่น สวนยุโรป สวนหิน) สภาพภูมิอากาศ (สวนป่า สวนธรรมชาติ สวนร้อนชื้น) ค่านิยม (สวนโมเดริน)
การนำไปใช้ประโยชน์ (User) คือ สวนที่สร้างขึ้นโดยกำหนดวัสถุประสงค์ที่แน่นอนทราบเป้าหมายของกลุ่มผู้ใช้ประโยชน์ เช่น สวนสมุนไพร สวนไม้ดอกไม้ประดับ สวนนก สวนผีเสื้อ สวนครัว เป็นต้น
วัสดุอุปกรณ์ในการตกแต่งสวนที่จำเป็น
การจัดสวนนั้นมิใช่ว่าเอาต้นไม้มาปลูก เป็นกลุ่มเป็นก้อน เป็นแถวเป็นแนว ให้เกิดความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่เราจะต้องคำนึงถึงวัสดุอุปกรณ์ ในการตกแต่งสวนด้วย ว่าจะเอาวัสดุอุปกรณ์ประเภทไหนอย่างไร มาตกแต่งสวนให้ดูสวยงามยิ่งขึ้น และจะทำอย่างไรให้คงความงามไว้ได้นาน โดยเริ่มจาก การจัดเตรียมพื้นที่การเลือกไม้ดอกไม้ใบ การใช้วัสดุปูพื้น การกั้นรั้ว การเลือกเฟอร์นิเจอร์ และการดูแลรักษา ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นมากต่อการจัดแต่งสวน
1. การเตรียมพื้นที่ คือ การทำให้บริเวณพื้นที่ที่จะจัดสวนให้เรียบโล่ง เหลือไว้แต่สิ่งที่เราจะใช้ประโยชน์ได้ในภายหลัง เช่นต้นไม้ใหญ่ ๆ หิน เนินที่มีอยู่เดิม การปรับพื้นดินทำโดยการรดน้ำจนเปียก แล้วจึงใช้ลูกกลิ้งบดให้เรียบ ถ้าบริเวณใดยุบเป็นบ่อให้เติมดินลงไป ระดับโดยรวมควรลาดเอียงไปยัง ทางท่อระบายน้ำ และลาดเอียงออกจากตัวอาคาร เก็บเศษวัสดุ ก้อนหิน หญ้า และวัชพืช ที่ไม่ต้องการทิ้งให้หมดวาดแปลนที่ต้องการลงบนพื้นที่ โดยใช้ปูนขาวโรยเป็นกำหนดจุดแนวสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เช่น ลานพักผ่อน ทางเท้า ถนนเข้าบ้าน เป็นต้น กำหนดจุดที่จะปลูกต้นไม้ใหญ่ขอบเขตของแปลงที่จะปลูกไม้พุ่มและไม้คลุมดิน
การปลูกไม้ต้นใหญ่นั้นควรขุดหลุมให้มีขนาดใหญ่กว่าตุ้มดินที่หุ้มรากต้นไม้ไว้โดยรอบอีก 10 ซม. และลึกกว่าขนาดตุ้มดินอีก 10-15 ซม. โรยปุ๋ยสูตรเสมอ (16-16-16) รองก้นหลุมดินที่ขุดขึ้นจากหลุมให้แยกดินส่วนบน และส่วนก้นหลุมไว้ จากนั้นก็เอาดินส่วนบนมาสับพรวนจนเป็นก้อนเล็ก ๆ แล้วเอามาคลุกผสมกับดินที่ซื้อมาจากท้องตลาดในอัตราส่วน ดินบน:ดินผสม = 1:1 ใส่กลับลงไปในหลุมเป็นดินปลูก รดน้ำตามให้ชุ่ม ดินจะยุบตัวลง เติมดินปลูกและรดน้ำจนดินไม่ยุบตัวอีก ถ้าต้นไม้ที่ปลูกใหม่นั้นสูงมากหรือไม่สามารถตั้งตัวให้ตรงได้ให้ใช้ไม้ค้ำ ซึ่งอาจจะเป็นไม้ไผ่หรือไม้สนก็ได้ ส่วนการเตรียมพื้นที่ที่จะปลูกไม้พุ่ม และไม้คลุมดินนั้น ก็คล้ายคลึงกันกับการปลูกไม้ต้นใหญ่ แต่ขนาดหลุมจะตื้นกว่า
2. ต้นไม้ ต้นไม้ที่ใช้ในการตกแต่งสวนนั้นแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
2.1 ไม้ต้น (Trees) เป็นไม้เนื้อแข็ง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของลำต้นใหญ่กว่าไม้พุ่ม ไม่ต้องอาศัยพาดพิงต้นไม้หรือวัสดุอื่นเพื่อดำรงตัว มีความสูงเกิน 6 เมตร มีอายุได้นานปี เช่น ตะแบก อินทนิน จามจุรี ราชพฤกษ์ ฯลฯ ซึ่งไม้ต้นเหล่านี้ สามารถใช้เป็นฉากหลัง ให้ร่มเงา หรือเป็นแนวรั้วกันลม ฯลฯ
2.2 ไม้พุ่ม (Shrubs) เป็นไม้เนื้อแข็งลำตัวตั้งตรง เป็นอิสระได้ไม่ต้องอาศัยต้นไม้ หรือวัสดุอื่นพาดพิง มีอายุได้นานหลายปี มีความสูงไม่มากนักการแตกกิ่งก้านมักจะไม่สูงจากพื้นดิน เช่น ชบา เข็ม ยี่เข่ง ยี่โถ ฯลฯ มักจะปลูกระดับแปลง จัดเล่นลายโดยใช้สี ปลูกเป็นรั้ว กั้น หรือบังตา และมักจะปลูกตามขอบทาง
2.3 พืชคลุมดิน (Ground Covers) คือพืชที่มีต้นเตี้ย สูงไม่เกิน 30 ซม. และมักจะปลูกเป็นกลุ่มก้อนติด ๆ กัน มีทั้งลำต้นตรงและลำต้นเตี้ย มีทั้งเป็นไม้เนื้ออ่อนอายุข้ามปี และเป็นพวกไม้ล้มลุก เช่น ผักเป็ดเขียว บานเช้า บานเย็น บัวสวรรค์ พลูด่าง เป็นต้น ใช้ปลูกประดับขอบแปลง จัดเล่นลายใช้สีหรือปลูกเป็นแปลงคลุมพื้นที่แทนหญ้า
การออกแบบจัดสวน
ธรรมชาติกับมนุษย์เป็นสิ่งที่อยู่คู่กัน แม้ความเจริญก้าวหน้าของสังคมเมืองจะยังคงเติบโตขึ้นแต่มนุษย์ก็ยังคงเรียกร้องหาธรรมชาติตามสัญชาตญาณ ได้แก่การพยายามนำเอาธรรมชาติ เช่น ไม้ดอก ไม้ประดับต่าง ๆ เข้ามาตกแต่งในบริเวณที่ทำงาน ร้านค้า และที่อยู่อาศัย ให้เป็นไปตามธรรมชาติมากที่สุดดังนั้นการจัดสวนจึงเป็นการดึงเอาธรรมชาติเข้ามาอยู่ใกล้ตัวมากที่สุด ซึ่งการออกแบบจัดสวนสามารถลงมือทำเองได้ตามความสามารถกำลังเงินและเวลาที่มีอยู่ ดังมีหลักเบื้องต้นของการออกแบบสวน ดังนี้
ประโยชน์ของการจัดสวน
การจัดสวนเป็นการจัดสรรพื้นที่ว่างให้เกิดประโยชน์และเกิดจุดเด่นของพื้นที่ ดังนี้
§ สร้างความร่มรื่นเติมสีสันให้ชีวิต
§ สร้างจิตนาการ บรรยายกาศ บอกเล่าเรื่องราว
§ พักผ่อน ผ่อนคลายความตึงเครียด
§ เป็นที่พบปะสังสรรค์
§ External Benefits
ประเภทของการจัดสวน
ศิลปะ


การจัดสวน
มุมมอง/ความพึ่งพอใจ


การจัดสวนคืองานที่สร้างสรรค์ขึ้นจากความต้องการ ความรู้สึก จินตนาการ บนพื้นฐานของการนำไปใช้ประโยชน์ซึ่งเรียกได้ว่า การจัดสวนเป็นงานศิลปะชนิดหนึ่งที่เป็นชิ้นงานรูปธรรมสามารถใช้ประโยชน์ได้จริง ดังนั้นในการจัดสวนจึงมีการแบ่งประเภทของการจัดสวนออกไปในหลายลักษณะขึ้นอยู่กับมุมมอง รสนิยม การนำไปใช้ประโยชน์และกลุ่มเป้าหมาย (ผู้ใช้ประโยชน์) แตกต่างกันออกไป โดยสามารถแยกประเภทของการจัดสวนได้ดังนี้